จากคุณสมบัติที่วิเศษของสะเดาที่ทำให้เกษตรกรเข้าใจว่า เมื่อใดที่ใช้สารสกัดจากสะเดาฉีดพ่นพืชผักผลไม้ของตนเองแล้ว จะกำจัดแมลงได้ผลเด็ดขาดในทันที แต่ในความเป็นจริงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการใช้สารสกัดสะเดา ซึ่งเกษตรกรควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนนำไปใช้ ปัจจัยดังกล่าวที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกัน และกำจัดแมลงของสารสกัดสะเดามีดังต่อไปนี้
1. คุณภาพของสะเดาหรือสารสกัดจากสะเดา
สารสกัดจากสะเดาที่เกษตรกรนำมาใช้ไม่ว่าจะซื้อมาหรือผลิตขึ้นใช้เอง จะต้องมีสารออกฤทธิ์ที่มีชื่อว่า AZADIRACHTIN (AZA) ในสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 0.1% และผลหรือเมล็ดของสะเดาที่นำมาใช้จะต้องไม่ขึ้นราและไม่ควรเก็บไว้เกินกว่า 1 ปี โดยนำมาบดให้ละเอียดและนำไปแช่น้ำ (1 กก./100 ลิตร)
2. ชนิดของแมลงศัตรูพืช
ถือเป็นหัวใจของเกษตรกรที่ต้องให้ความใส่ใจในการแยกแยะ ระหว่างแมลงที่เป็นคุณต่อพืชและแมลงที่เป็นโทษต่อพืช เท่าที่ผ่านมาเกษตรกรไทยยังมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งยังได้ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ที่จะคอยช่วยปราบแมลงที่เป็นศัตรูพืชตัวจริงไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นอกจากนั้น จากผลการทดลองในแปลงทดลองและห้องปฏิบัติการ พบว่า สารสกัดสะเดาให้ผลในการป้องกันและกำจัดแมลงแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของแมลง โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ
กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่สารสกัดสะเดาให้ผลเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ หนอนชอนใบหนอนกระทู้ หนอนหลอดหอม หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ หนอนบุ้ง หนอนแก้วส้ม หนอนหัวกะโหลก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไก่แจ้ เป็นต้น แต่ในกรณีที่แมลงศัตรูพืชระบาดมาก อาจต้องใช้สารเคมีสังเคราะห์ผสมลงไปด้วยประมาณ 1-2 ครั้ง จากนั้นค่อยๆ ลดปริมาณสารเคมีลง จนในที่สุดพ่นแต่เพียงสารสกัดสะเดาเท่านั้น
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่สารสกัดสะเดาใช้ได้ผลปานกลาง ได้แก่ หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะต้นกล้าถั่ว หนอนเจาะดอกกล้วยไม้ หนอนเจาะยอดคะน้า หนอนเจาะถั่วฝักยาว หนอนเจาะมะเขือ แมลงวันทอง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว ไรแดง เป็นต้น ศัตรูพืชกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาในการพ่นสารสกัดสะเดานานกว่ากลุ่มแรก รวมทั้งต้องใช้สารเคมีร่วมด้วยบ่อยครั้งในระยะเริ่มต้น
กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มที่สารสกัดสะเดาไม่สามารถออกฤทธิ์กำจัดศัตรูพืชกลุ่มนี้ได้เลย เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืชทุกชนิด รวมทั้งด้วงปีกแข็งกัดกินใบ หมัดกระโดด และไรสนิม เป็นต้น
3. วิธีการพ่นสารสะเดา
ควรผสมน้ำที่มีค่าความเป็นกรดอ่อนๆ หรือเป็นกลางกับสารกำจัดแมลงไม่ว่าจะเป็นสารสกัดสะเดา หรือสารเคมีสังเคราะห์ เพื่อให้กำจัดแมลงนั้นๆ ให้ผลเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรวัดค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำที่ใช้ในการพ่นยาในแต่ละแปลง ซึ่งหากพบว่าน้ำนั้นมีความเป็นด่างสูง ก็ให้เติมน้ำส้มสายชูลงไปจนกว่าค่าของน้ำจะกลายมาเป็นกรดอ่อนหรือเป็นกลาง และวัดปริมาณน้ำส้มสายชูที่เติมไว้ด้วย เพื่อในครั้งต่อไปจะได้ผสมน้ำส้มสายชูได้ทันทีโดยไม่ต้องคอยวัดค่าอีก
จากนั้น นำน้ำที่เหมาะสมแล้วมาผสมกับสารสกัดสะเดา และก่อนทำการพ่นทุกครั้งควรผสมสารจับไป หรือน้ำสบู่ลงไปด้วย เพื่อลดแรงตึงผิวของน้ำ ซึ่งจะช่วยให้ส่วนผสมทั้งหมดแพร่กระจายเต็มพื้นที่ทุกส่วนของพืช และเมื่อหนอนกัดกินส่วนหนึ่งส่วนใดของพืชก็จะได้รับสารสกัดสะเดา ซึ่งถือเป็นการเริ่มให้ผลในการกำจัด
แต่ทั้งนี้ เกษตรกรต้องอย่าลืมว่า สารสกัด สะเดาไม่ส่งผลต่อการกำจัดตัวโตเต็มวัยของแมลงทุกชนิด ดังนั้นการพ่นสารสกัดสะเดาให้ได้ผลดี ควรจะพ่นเพื่อเป็นการป้องกันมากกว่าการกำจัด โดยระยะที่เหมาะสมที่สุดคือ การเริ่มพ่นเมื่อหนอนออกจากไข่ และไม่ควรปล่อยให้แมลงศัตรูพืชมีจำนวนมากจนถึงขั้นที่ยากแก่การควบคุม ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนั้น เกษตรกรจะต้องเพิ่มส่วนผสมสารสกัดสะเดามากกว่าในปริมาณปกติ เช่น จากเดิมที่ใช้พ่นพืชผักได้ประมาณ 80 ลิตรต่อไร่ ต้องเพิ่มเป็นประมาณ 150 ลิตรต่อไร่ นับเป็นการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น แต่กระนั้น แม้จะใช้สารสกัดสะเดาในปริมาณมากก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่สามารถควบคุมแมลงได้แล้ว เกษตรกรจะสามารถเว้นช่วงพ่นได้นานกว่าการพ่นสารเคมีหลายเท่าตัว
4. ระยะเวลาการพ่นสารสกัดสะเดา
จากคุณสมบัติของสารสกัดสะเดาที่ออกฤทธิ์เป็นสารไล่แมลง ดังนั้นการพ่นในระยะเริ่มแรกจะเป็นการไล่แมลงออกจากแปลงพืชผัก และควรจะพ่นสารนี้ในช่วงเย็น เนื่องจากแมลงส่วนใหญ่จะออกกัดกินพืชผักในเวลาเย็น นอกจากนั้น สารสกัดสะเดาที่พ่นใหม่ๆ ยังไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนจากแสงแดด ทำให้แมลงได้รับสารนี้ได้มากขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่เคยชินกับการพ่นสารเคมีมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยหันมาใช้สารกำจัดแมลงที่สกัดจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้ให้ผลเร็ว ทันใจเหมือนดั่งสารเคมี อาจด่วนสรุปว่าสารสกัดจากธรรมชาตินั้นใช้ไม่ได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ และหันกลับไปใช้สารเคมีดังเดิม นับเป็นความเข้าใจที่ผิด ทั้งยังส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย
ฉะนั้น เกษตรกรต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า การพ่นสารสกัดสะเดาเพียง 1-2 ครั้ง ยังไม่สามารถเห็นประสิทธิภาพของการป้องกันและกำจัดแมลงได้ชัดเจน ควรอดทนพ่นต่อให้มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะ การพ่นห่างกันทุก 5-7 วันต่อครั้ง เกษตรกรจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น
สาเหตุที่ต้องใช้เวลาในการพ่นสารสกัดสะเดาหลายครั้งจึงจะเห็นผล เนื่องจากแมลงศัตรูพืชที่กำลังระบาดอยู่ในแปลงพืชนั้น จะประกอบไปด้วยแมลงหลายระยะ เริ่มตั้งแต่ระยะไข่ ระยะหนอนตัวอ่อนวัย 1 ถึงวัยที่จะเข้าดักแด้ ระยะดักแด้ และระยะแม่ผีเสื้อตัวเต็มวัย
เมื่อเกษตรกรพ่นสารสกัดสะเดาในช่วง 1-2 ครั้ง แรกจะกำจัดได้เฉพาะหนอนในระยะที่จะลอกคราบ กลายเป็นตัวเต็มวัยได้เท่านั้น ซึ่งหากความเข้มข้นของสารไม่มากพอก็จะไม่สามารถทำลายแมลงเหล่านั้นได้ ดังนั้น จำเป็นต้องพ่นสารนี้ติดต่อกันหลายครั้ง จึงจะสามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ทั้งหมด สำหรับแมลงที่รอดกลายเป็นแม่ผีเสื้อได้นั้น ทันทีที่ได้รับสารนี้เข้าไปก็จะมีจำนวนไข่ลดลง แมลงในแปลงนั้นก็จะลดลงตามไปด้วย เมื่อถึงจุดนี้เกษตรกรก็สามารถเว้นระยะการพ่นให้ห่างออกไปได้ จากเริ่มต้นเดือนแรกพ่นทุกๆ 7 วัน เดือนที่สอง 10 วันพ่นครั้ง เดือนที่สาม 15 วันพ่นครั้ง และพ่นไปเรื่อยๆ ติดต่อกันประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ระยะการพ่นก็จะเหลือเฉลี่ยประมาณ 10 กว่าครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อเกษตรกรในแง่การประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน และที่สำคัญคือ ไม่มีสารพิษตกค้างในพืชผักและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นับเป็นการถนอมชีวิตของมนุษย์และแมลง ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศวิทยาอีกทางหนึ่งด้วย
ที่มา : ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2541
หน้าที่เข้าชม | 229,240 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 116,470 ครั้ง |
เปิดร้าน | 5 มี.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ก.ย. 2568 |