
ปัจจัยที่ทำให้ “สารสกัดสะเดา” ใช้ไม่ได้ผล
1.

ใช้ผิดเวลา
- แมลงศัตรูพืชมักออกหากินตอนเช้าตรู่หรือเย็น หากพ่นในช่วงกลางวัน แสงแดดแรงอาจทำให้สารสะเดาสลายตัวเร็ว
- พ่นตอนฝนตกหรือหลังฝนตกทันที สารสะเดาถูกชะล้างหมด ไม่ทันออกฤทธิ์
2.

ใช้ความเข้มข้นไม่เหมาะสม
- ใช้เจือจางเกินไป (สารไม่พอออกฤทธิ์)
3.

ผสมกับสารอื่นที่ทำลายสารสะเดา
- เช่น สารที่มีฤทธิ์ด่าง (น้ำสบู่, น้ำจากแหล่งน้ำที่เป็นด่าง) อาจทำให้ สาร Azadirachtin สลายตัว
- ผสมร่วมกับ สารเคมีฆ่าแมลงแรงๆ อาจรบกวนการทำงานของสารสะเดา
4.

ไม่ใช้สารจับใบ หรือฉีดพ่นไม่ทั่วถึง
- สารสะเดาไม่สามารถเกาะบนใบพืชได้ดี ทำให้หลุดง่าย
- แมลงมักหลบอยู่ใต้ใบ หากฉีดเฉพาะด้านบนจึงไม่สัมผัสกับสาร
5.

ศัตรูพืชไม่ใช่กลุ่มที่ตอบสนองต่อสารสะเดา
- สารสะเดาออกฤทธิ์เฉพาะกับแมลงศัตรูที่มีการลอกคราบ เช่น
เพลี้ยอ่อน, หนอนผีเสื้อ, หนอนชอนใบ, แมลงหวี่ขาว
- แมลงบางชนิด เช่น แมลงปีกแข็ง ,ด้วง หรือ ตัวเต็มวัยผีเสื้อ อาจไม่ตอบสนองต่อสารสะเดาเท่าที่ควร
6.

แมลงเจอสารแต่ไม่กินพืช
- สารสะเดาทำงานโดย “แมลงต้องกินใบที่มีสารสะเดาติดอยู่”
- หากแมลงอยู่แต่บนใบ ไม่กัดกิน (เช่น แมลงเต่าทองบางชนิด) จะไม่ตาย
7.

ใช้เพียงครั้งเดียว หรือใช้ไม่สม่ำเสมอ
- สารสะเดาออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ “ฆ่าตายทันที” เหมือนสารเคมี
- ต้องใช้ อย่างต่อเนื่อง ทุก 5–7 วัน เพื่อสะสมผลจนแมลงไม่สามารถลอกคราบหรือตายจากความผิดปกติในระบบเจริญเติบโต

สรุป:

ใช้ให้ถูกเวลา

ฉีดพ่นให้ทั่วพืช

ผสมถูกอัตราส่วน

ไม่ใช้ร่วมกับสารที่ทำลาย Azadirachtin

พ่นอย่างต่อเนื่อง

เข้าใจว่าสะเดา “ออกฤทธิ์ช้าแต่ปลอดภัย”