บริษัท ผลิตภัณฑ์สะเดาไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายสารสกัดสะเดา ที่ผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียนสารกำจัดแมลงประเภทหนอนชอนใบได้ เป็นรายเดียวในประเทศไทย และมีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานราชการ คาดการณ์ "สะเดา" กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคต บริษัทฯ พร้อมถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและบุคคลทั่วไป
จากกระแสการใส่ใจในสิ่งแวดล้อมที่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนตื่นตัวในเรื่องนี้กันมากขึ้น อุตสาหกรรมการเกษตรเป็นหนึ่งในหลายอุตสาหกรรมที่มีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อม จากการใช้สารเคมีเพื่อกำจัดศัตรูพืช ปัจจุบันประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยได้ให้ความสนใจกับการทำการเกษตรกรรมแบบยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งวิธีการเกษตรดังกล่าวจะหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีให้มากที่สุด ดังนั้นจึงมีแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการพยายามคิดค้นหาทางกำจัดศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติหรือชีววิธี (BIO CONTROL)
ในที่สุดก็สามารถค้นพบสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการควบคุมแมลงศัตรูพืช โดยไม่ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ต่อพืชด้วย ซึ่งแมลงที่มีประโยชน์เหล่านั้นจะเป็นตัวควบคุมแมลงศัตรูพืชเองตามหลักระบบนิเวศวิทยา ยิ่งกว่านั้น ยังช่วยลดการเกิดปัญหาแมลงสร้างความต้าน ทานหรือดื้อยา ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ผู้ที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ประสบอยู่และไม่สามารถหาทางออกได้ เนื่องจากสารเคมีส่วนใหญ่จะออกฤทธิ์ทางเดียวคือ ทางสรีรวิทยา ทำให้แมลงตายในทันที ส่วนที่แมลงที่ยังไม่ตายจะสามารถสร้างความต้านทานขึ้นได้ และยิ่งเมื่อมีการใช้สารเคมีสังเคราะห์เป็นเวลานานในปริมาณมากๆ จะยิ่งเป็นการคัดพันธุ์ที่ต้านทานไว้ ในขณะที่สารสกัดจากธรรมชาติที่ค้นพบได้นั้นออกฤทธิ์ถึง 2 ทางคือ ทั้งทางสรีรวิทยา คือ การยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง และทางพฤติกรรม คือ เป็นสารไล่ ยับยั้งการกินและการวางไข่อีกทางหนึ่งด้วย ถือว่าครบวงจรในการกำจัดแมลงศัตรูพืชเลยทีเดียว สารสกัดดังกล่าวนั้นสกัดมาจากเมล็ดของ "สะเดา" และทำให้ "สะเดา" พันธุ์ไม้ที่หาได้ไม่ยากในประเทศไทยกลายเป็นพระเอกไปในทันที
น่าเสียดายที่เกษตรกรไทยไม่ค่อยให้ความนิยมกับสารสกัดสะเดานี่เท่าที่ควร ทั้งที่จัดว่าเป็นสารกำจัดศัตรูพืชที่ราคาไม่สูงเท่าสารเคมีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ อีกทั้งยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญเกษตรกรสามารถผลิต ใช้เองได้อย่างง่ายและประหยัด สาเหตุเนื่องจากเกษตรกรไทยยังคุ้นเคยกับการใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์ให้ผลทันใจ แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มประสบปัญหาการดื้อยาของแมลง และจากการขาดความรู้และความเข้าใจ จึงทำให้ยิ่งใช้สารเคมีในปริมาณที่มากและถี่ยิ่งขึ้น นับเป็นความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสียในระยะยาว
ดังนั้นถึงเวลาแล้ว ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันในการกระจายความรู้ความเข้าใจ ให้แก่เกษตรกรไทยอย่างทั่วถึง เกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูของพืชผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกที่ในปี ค.ศ.2000 ที่จะถึงนี้จะรับซื้อเฉพาะพืชผักผลไม้ที่ปราศจากสารพิษตกค้างเท่านั้น
ณ วันนี้มีบริษัทคนไทยที่ดำเนินการผลิตสารสกัดจากสะเดาเป็นจำนวนมากหลายราย แต่มีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับจากกรมวิชาการเกษตรให้ขึ้นทะเบียนเป็นสารกำจัดศัตรูพืช คือ บริษัท ผลิตภัณฑ์สะเดาไทย จำกัด
บริษัท ผลิตภัณฑ์สะเดาไทย ก่อตั้งขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของสองสามีภรรยา ชาตรี-สุภาภิญ จำปาเงิน เมื่อปี 2537 จากเงินทุนเบื้องต้นประมาณ 2 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าก่อสร้าง โรงงานและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
แรกเริ่มเดิมทีเขาทั้งคู่ไม่ใช่เกษตรกร แต่ทางฝ่ายชายคือ ชาตรี มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์บ้างพอสมควร เขาจบปริญญาตรีจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังจบการศึกษาแล้วเขาไม่ได้ทำงานทางด้านที่จบมาในทันที แต่กลับไปทำเหมืองพลอยที่กาญจนบุรี จากนั้นก็ไปทำงานกับญี่ปุ่นเป็นบริษัทนำเข้าอุปกรณ์เครื่องมือหนัก อาทิ รถแทร็กเตอร์ รถแม็คโคร เป็นต้น ทำอยู่ได้ไม่นานรัฐบาลก็ประกาศลดค่าเงินบาทในช่วงปี 2527-2528 ธุรกิจนำเข้าประสบปัญหาหนัก เขาจึงหยุดทำทุกอย่างและกลับมาช่วยน้าชายที่ทำสวนผักกาดเขียวอยู่ที่สุพรรณบุรี ช่วยอยู่ได้สักพักจึงคิดออกมาทำเอง โดยช่วงนั้นปลูกผักกาด เขียวอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปีก็ประสบกับปัญหาหนอนใยผักเยอะมาก เขาจึงเลิกปลูกผัก หันไปปลูกส้มโอแทน ระหว่างที่ทำสวนส้มโอได้ประมาณ 1 ปี เจ้านายเก่าชาวญี่ปุ่นที่เคยร่วมงานกันมา ก็ชวนให้เขากลับไปทำงานร่วมกันในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานอาหารแช่แข็งส่งออกไปญี่ปุ่น ชาตรีเลยทิ้งสวนไปช่วยเขาได้ประมาณ 1 ปี ในขณะที่สวนส้มโอย่างเข้าปีที่ 3 แล้วแต่ไม่มีใครดูแล หนอนลงเสียหายมาก ยาฆ่าแมลงที่เตรียมไว้ฉีดก็หมดไปมาก เขาเลยคิดกลับมาดูแลเอง โดยขอลาออกจากโรงงานญี่ปุ่น และกลับมาฉีดยาฆ่าแมลงและบำรุงฟื้นส้มใหม่ จนกระทั่งได้ผลดี
แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้ได้ในช่วงที่กลับมาฟื้นฟูสวนส้มด้วยการโหมฉีดยาฆ่าแมลงก็คือ เม็ดเงินที่เขาต้องสูญเสียไปจำนวนมากกับการซื้อยาฆ่าแมลงและจ้างคนงานเพื่อฉีดยา และยิ่งกว่านั้น ยามใดที่จ้างคนงานไม่ได้ เขาและภรรยาจึงต้องลงมือฉีดเอง ซึ่งภายหลังการฉีดยาแต่ละครั้ง เขากับภรรยาจะรู้สึกไม่สบาย ปวดหัว ต้องนอนพัก ลุกไม่ขึ้นเป็นวันๆ ชาตรีในฐานะผู้มีความรู้ทางด้านสุขภาพตามที่ร่ำเรียนมาก็เริ่มรู้แล้วว่า ไม่เป็นการคุ้มเลยที่จะเอาชีวิตเขากับภรรยาและคนงานมาทิ้งไว้ที่สวนส้ม เขาจึงตัดสินใจที่จะขายสวนทิ้ง ในระหว่างที่รอขายสวนอยู่นั้น เขาก็ได้ข่าวการใช้สารสกัดจากสะเดาในการกำจัดแมลงได้ผล โดยไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต เขาก็ให้โอกาสตัวเองอีกครั้ง โดยตัดสินใจเอาสะเดามาลองใช้กับสวนส้มโอซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยหนอนนานาชนิด
"เราได้ยินข่าวมาว่ามีคนใช้แล้วได้ผล แต่ไม่รู้ว่าได้อย่างไร เราก็เลยลองใช้ดูบ้าง ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว" ชาตรีกล่าว และเล่าว่า เขาเริ่มใช้สารสกัดสะเดาครั้งแรกเมื่อปี 2534 โดยเขาแบ่งสวนออกเป็น 2 ส่วน ครึ่งหนึ่งใช้สารเคมีฉีด อีกครึ่งหนึ่งใช้สารสกัดสะเดาฉีด ผลปรากฏว่า ส่วนที่ใช้สะเดาฉีดแมลงบางชนิดหายไปและแมลงบางชนิดยังอยู่ ในขณะที่ส่วนที่ใช้สารเคมียังมีแมลงอยู่เยอะมาก เขาเลยตัดสินใจเลิกใช้สารเคมีและเปลี่ยนมาใช้สารสกัดสะเดาฉีดทั้งหมด โดยในเดือนแรกเขาฉีดประมาณสัปดาห์ละครั้ง พอเดือนที่สองก็เว้นระยะห่างออกเป็น 10 วันฉีดครั้งและเดือนที่สามเว้นไป 15 วันฉีดครั้ง
ข่าวการใช้สารสกัดสะเดาได้ผลจากสวนเขาก็เริ่มแพร่สะพัดออกไป จากนั้นเริ่มมีผู้ที่สนใจทั้งนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และเกษตรกรที่สนใจเข้ามาดูงานที่สวน เขากับภรรยารับหน้าที่เป็นผู้บรรยายสรรพคุณ กระบวนการและวิธีการใช้กับบุคคลเหล่านั้น และสิ่งที่เขาทั้งสองได้รับเป็นสิ่งตอบแทนในครั้งแรกของการบรรยายก็คือ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาก็พบกับความว่างเปล่าของอุปกรณ์และเครื่อง มือในการรดน้ำ ฉีดยาหายไปหมด เขาเกิดความสิ้นหวังท้อแท้กับความพยายามที่ทำมาทั้งหมด เขาจึงวางมือจากสวนส้ม ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่มีการรดน้ำ ฉีดหรือบำรุงใดๆเลย เป็นเวลาประมาณ 2 เดือนเศษ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปดูที่สวนอีกที ปรากฏความอัศจรรย์ใจแก่เขามาก เนื่องจากส้มโอไม่มีการถูกทำลายเหมือนครั้งที่ใช้สารเคมีเลย
"สมัยที่ใช้สารเคมีเว้น 10 วันก็ไม่ได้ เว้นไม่เกิน 7 วันก็ต้องฉีดยาแล้ว และการฉีดแต่ละครั้งก็ใช้เงินประมาณ 4,000-5,000 บาทต่อครั้ง เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น ในขณะที่เรายังไม่รู้เลยว่าจะได้เงินจากการขายส้มเท่าไร แต่เมื่อเรามาใช้สะเดา ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ลดลงไปประมาณ 10 เท่าคือ เหลือเดือนละประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น เราก็เลยใช้สะเดาติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือนนับแต่นั้น ผลก็คือ ตามปกติเมื่อส้มโอออกดอกจะมีเพลี้ยไฟมาก ซึ่งทำให้ส้มโอเสียหายเป็นลายไม่สวย ส่งออกไม่ได้ แต่หลังจากใช้สะเดาฉีดคู่กับสารเคมี ในอัตราเข้มข้นสารเคมี 1 ส่วนต่อสารสกัดสะเดา 5 ส่วน ฉีดให้ทั่วเพลี้ยไฟก็ตายเรียบ และเมื่อเริ่มคุมเพลี้ยไฟได้ ผมก็ลดสารเคมีลงและเลิกผสมไปในที่สุด และใช้สะเดาล้วนๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากปีหนึ่งที่ต้องฉีดสารเคมีประมาณ 30-40 ครั้ง หลังจากที่ใช้สารสกัดสะเดามาติดต่อกันเป็นเวลา 5-6 ปีแล้วก็เหลือฉีดปีหนึ่งไม่ถึง 10 ครั้ง ประหยัดทั้งเงิน ทั้งแรงงาน ความปลอดภัย ก็มีสูง ส้มก็ส่งนอกได้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม" และนี่เองคือสาเหตุในการต่อกำลังใจให้แก่เขาและภรรยาที่จะเริ่มต้นสู้ใหม่อีกครั้ง และหันมาจริงจังกับการศึกษาคุณสมบัติของสารสกัดสะเดา
จนที่สุดในปี 2537 เขาก่อตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์สะเดาไทยขึ้นมา เพื่อผลิตสารสกัดสะเดาที่มีชื่อสามัญว่า AZA-DIRACHTIN เพื่อจำหน่ายแก่หน่วยงานราชการและเกษตรกรที่ต้องการ โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า "สะเดาไทย" และมีผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสะเดาให้เลือกใช้หลายชนิด ได้แก่ สะเดาไทยหมายเลข 111 เป็นสารสกัดสะเดาที่ใช้ผสมกับน้ำฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง, สะเดาไทย 222 เป็นสะเดาอัดเม็ดสำเร็จรูป มีคุณสมบัติกำจัดตัวหนอนหรือตัวอ่อนของแมลงในดิน และไส้เดือนฝอยที่กัดกินรากพืชอยู่ในดิน ทั้งยังใช้เป็นปุ๋ยธรรมชาติได้ด้วย และสะเดาไทย 555 เป็นสะเดาบดสำหรับปรับปรุงดินและเป็นปุ๋ยธรรมชาติเช่นกัน
นอกจากนั้น เขายังทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจทั่วไป โดยมีสวนของเขาเป็นกรณีศึกษา ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะปรับปรุงสวนของเขาให้มีพันธุ์ไม้หลายชนิด ทั้งแปลงผัก แปลงผลไม้ และแปลงดอกไม้ เพื่อให้การศึกษาได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย
"ตอนนี้เริ่มมีบริษัทเคมีในต่างประเทศหันมาเพาะแมลงที่เป็นประโยชน์ขาย แต่เขาจะไม่สามารถข้ามขั้นตอนของการใช้สารสกัดสะเดาได้เลย เพราะหากเขานำแมลงที่มีประโยชน์ไปปล่อยในแปลงพืชของเขา ขณะที่ยังมีแมลงศัตรูพืชจำนวนมากอยู่ ก็จะไม่ได้ผลอะไรเลย ทั้งยังเป็นการฆ่าแมลงที่เป็นประโยชน์อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องใช้สารสกัดสะเดา มาควบคุมศัตรูพืชให้ได้ก่อนในช่วงเริ่มต้น" ชาตรีกล่าวถึงความจำเป็นของการใช้สารสกัดสะเดาต่อการเกษตรที่หลีกเลี่ยงสารเคมี และเขามีความเห็นว่า "สะเดา" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต เนื่องจากเกษตรกรต้องหันมาใช้ประโยชน์จากสะเดากันมากขึ้น นอกจากสารสกัดจากสะเดาจะมีคุณสมบัติในการกำจัดแมลงศัตรูพืชแล้ว ยังมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้หลายโรคด้วย เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น และส่วนของเนื้อไม้ก็สามารถนำไปใช้ในการก่อสร้างได้ เนื่องจากเนื้อไม้สะเดามีคุณสมบัติเป็นไม้เนื้อแข็ง โตไว ทนทานในทุกสภาพดินและอากาศแล้งแบบเมืองไทย
"เราพยายามประสานงานกับหน่วยงานราชการ อาทิ กรมชลประทาน กรมทางหลวง และกรมป่าไม้ให้ปลูกต้นสะเดาริมคลอง ริมทาง เพื่อจะได้มีวัตถุดิบมากขึ้น เนื่องจากสารสกัดจากสะเดาที่ให้ประสิทธิภาพดี ต้องสกัดจากเมล็ดสะเดาที่เกิดจากต้นสะเดาที่ปลูกตามธรรมชาติ มีระยะห่างพอที่สะเดาจะติดลูกได้ เพราะหากปลูกชิดกันแบบสวนทั่วไปจะทำให้สะเดาไม่ออกลูก จะใช้ประโยชน์ได้แต่เพียงเนื้อไม้เท่านั้น"
แม้ว่า สารสกัดสะเดาจะมีคุณสมบัติในการกำจัดศัตรูพืชได้หลายชนิด แต่การขึ้นทะเบียนเป็นสารกำจัดศัตรูพืช ที่ไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภคกับกรมวิชาการเกษตรนั้น สามารถขึ้นทะเบียนได้ครั้งละหนึ่งประเภทเท่านั้น โดยในขณะนี้ทางบริษัทได้ขึ้นทะเบียนกับหนอนชอนใบเป็นประเภทแรก และจะทำการขึ้นทะเบียนกับหนอนประเภทอื่นอีกต่อไป
นอกจากนั้น ชาตรียังฝากกระตุ้นเตือนรัฐบาลให้ใส่ใจกับการจดลิขสิทธิ์ การรักษาพันธุ์สมุนไพรไทยหรือพันธุ์ไม้ไทยด้วย เพื่อประโยชน์ของลูกหลานในอนาคต
ที่มา : ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
หน้าที่เข้าชม | 229,240 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 116,470 ครั้ง |
เปิดร้าน | 5 มี.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ก.ย. 2568 |